ลุงมโนคะ เมื่อไหร่จะหยุดมโน

    

 ลุงมโนเคยเป็นลูกศิษย์ของที่วัดเหมือนกับฉัน  เขาว่าลุงเป็นคนฉลาดมากแบบขั้นเทพ  ประมาณว่าเป็นคนที่เก่งและมีความรู้ความสามารถในทางโลกคนนึงเลยทีเดียว  แต่คนเก่งกับคนดีบางครั้งคุณสมบัติทั้ง2ข้อนี้ก็ไม่ได้มีอยู่ในคนๆเดียวนะ  บางคนเป็นคนฉลาด มีความรู้ความสามารถแต่ไม่ได้ใช้ไปในทางที่ถูกต้อง  เช่นพวกที่ใช้ตำแหน่งใหญ่โตในทางบ้านเมืองเพื่อการโกงกิน แบบผิดศีลผิดธรรม  หลายๆคนเป็นคนเก่งที่จบจากสถานศึกษาชั้นนำมีชื่อเสียง  แต่นั่นไม่ใช่เครื่องการันตีว่าเขาจะเป็นคนดีมีคุณธรรม  

     ตั้งแต่ฉันมาอยู่วัดได้เกือบ20ปี  ฉันได้ฟังคำสอนของหลวงพ่อ
ธัมมชโยสอนฉัน และสาธุชนที่มาวัด เป็นประโยคซ้ำๆเกือบ20ปี เรื่องทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะเรื่องของการปฏิบัติธรรมนี่หลวงพ่อย้ำบ่อยมากว่า "สร้างบารมีอย่าลืมประโยชน์ตน  ประโยชน์ท่าน"  

     "ประโยชน์ตน" ก็คือเรื่องของการแบ่งเวลาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ประโยชน์ท่านก็ภาระกิจการงานภายนอกทั่วไปทีเรารับผิดชอบต่อหมู่คณะ สังคม หรือประเทศชาติ โดยไม่ละเลยเรื่องการแบ่งปันสิ่งดีที่เราได้รับไปสู่บุคคลอื่นด้วยแบบไม่ดูดาย

      ลุงมโนเป็นคนที่มีความฉลาด เป็นคนเก่งว่างั๊นเถอะ แต่เรื่องคุณธรรมความดีของลุงนี่ฉันไม่รู้สิ  ฉันไม่เคยรู้จักลุงมาก่อน ก็ไม่อยากตัดสินคนโดยไม่ใช่หลักกาลามสูตร  คือหลักการตัดสินใจพิสูจน์ให้ถ่องแท้ก่อนตัดสินคนอื่นนะ

     ตั้งแต่ฉันมาเป็นลูกศิษย์ มาเป็นเด็กวัด ฉันกับเพื่อนๆ เกือบหมื่นชีวิตไม่เคยได้ยินหลวงพ่อธัมมชโยของเราพูดชื่อของลุงมโนให้ได้ยินเลยซักครั้งเดียว ไม่ว่าด้านดีหรือด้านร้าย

      ฉันรู้จักลุงมโนจากช่องทีวีต่างๆข้างนอก ที่มีเพื่อนจากนอกวัดส่งลิ๊งค์และข่าวต่างๆเกี่ยวกับลุงมโนมาให้แล้วสอบถามว่า เรื่องราวมันยังไงกัน เห็นคนนี้เขาตามด่าว่าวัดด่าว่าหลวงพ่อไปทุกช่องทีวีเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา  นั่นแหละทำให้ฉันได้รู้จักลุงมโน

    ฉันเลยนึกทบทวนตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านสอนว่า "อนูปวาโท" แปลว่า การไม่เข้าไปว่าร้ายกัน คือพระองค์ทรงสอนให้ลูกศิษย์ผู้นับถือพุทธศาสนาไม่ให้เข้าไปว่าร้ายใคร และพระองค์ไม่ได้แต่งตั้งให้มีบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ คำสอน และพระวินัยที่ทรงบัญญัติจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นสัจธรรมที่ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา

       พฤติกรรมของลุงมโนที่ฉันเห็นมาตลอด10กว่าปีที่ผ่านมานี้ฉันเห็นอะไร  ฉันเห็นลุงไปจัดสัมมนาตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในหัวข้อเดิมๆที่เกี่ยวเนื่องด้วยเรื่องของหลวงพ่อ
ธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย ว่าที่วัดแห่งนี้เลวร้ายและต้องปฏิรูป
โง๊นงี๊งั๊น  มีพี่ท่านนึงเข้าวัดมากว่า40ปีแล้วตั้งแต่เริ่มสร้างเล่าให้ฉันฟังว่า  คุณลุงมโนออกเดินสายตัดพ้อต่อว่าวัดต่อว่าหลวงพ่อไปตามสถานที่ต่างๆอย่างไม่ย่อท้อ ด้วยเรื่องข้อเสียโน่นนี่นั่นมากมาย

       จนกระทั่งที่วัดของเราเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ยุคบุกเบิกสมัยทุ่งนาฟ้าโล่งผืนดินแห้งแล้งกันดารการเดินทางมาวัดไม่สะดวกสบาย สมัยนั้นมีคนมาวัดแค่เพียงหลักสิบคน แต่ปัจจุบันคนมาวัดเป็นหลักล้านคนแล้ว  จากแค่เพียงหลักสิบในวันวาน กลายมาเป็นหลักล้านในวันนี้

     ระยะเวลาผ่านไป46ปีของการเผยแผ่ธรรมะของวัดพระธรรมกาย ผู้คนนำคำสอนหลวงพ่อธัมมชโยไปใช้ในเรื่องทาน ศีล ภาวนา มีชีวิตก้าวหน้ามีความสุข ครอบครัวอบอุ่นร่มเย็น แม้เวลาจะผ่านไปยาวนานขนาดนั้นลุงมโนก็ยังไม่หยุดตัดพ้อต่อว่าวัดเลย  ผลงานด้านคุณธรรม และจริยธรรมต่อสังคมของลุงไม่มีปรากฏเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน  มีเพียงคำพูดว่าต้องการทำให้สังคมดีขึ้น โดยเฉพาะด้านศาสนา ถ้าจัดการวัดพระธรรมกายให้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยได้  นั่นคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของคุณลุงเขาหละ 

       สมัยฉันเรียนตอนระดับประถม ครูติดคำขวัญไว้ที่หน้าโรงเรียน ฉันจำได้แม่นว่า "ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน"   แล้วคุณลุงมโนนี่มีผลงานด้านสังคมเรื่องใดบ้าง ทำไมคุณลุงเขาถึงได้ออกสื่อตามทีวีและหนังสือพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยหัวข้อว่าร้ายหลวงพ่อและวัดด้วยเรื่องเดิมๆซ้ำซากมาหลายปีดีดัก หรือว่ามาตรฐานความถูกต้องในสังคมไทยมันเปลี่ยนไปแล้ว "ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน" ใช้ไม่ได้แล้ว

      มีคนบอกว่าสมัยนี้ "คุณค่าของคน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนของใคร" ถ้ามีระดับบิ๊กๆตำแหน่งใหญ่โตหนุนหลังจะทำอะไรก็ได้  เปลี่ยนจากดำให้เป็นขาว จากผิดให้เป็นถูกก็ทำได้ทุกอย่าง ถ้าเป็น
อย่างนั้นจริงปีนี้คงไม่ใช่ปีพ.ศ.2559นะ  ฉันว่าเรากำลังอยู่ในยุค 2499อันธพาลครองเมืองซะมากกว่าหรือคุณว่าไง??